PIN กำลังวางรากฐานธุรกิจ สู่การเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

1 / 1

เมื่อการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ทั่วโลกผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ รวมถึงการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากปริมาณผู้โดยสารบนรถไฟฟ้า หรือปริมาณการใช้ถนน รวมถึงอัตราการเข้าพักโรงแรม หรือร้านค้า ร้านอาหาร ก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้ไม่เพียงแค่อุตสาหกรรมที่กล่าวมาข้างต้นนั้น แต่อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานทางเศรษฐกิจในประเทศไทย คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ที่จะได้รับประโยชน์จากการกลับมาเปิดประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวขึ้น โดย บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN ถือเป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทย มีผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2565 แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความสามารถในการสร้างรายได้ และกำไรสุทธิให้เติบโต ซึ่งที่บ่งชี้ให้เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ ผลประกอบการที่เติบโตทั้งในส่วนของรายได้และกำไรสุทธิ สำหรับรายได้ในไตรมาส 3/2565 ของ PIN อยู่ที่ 148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 317% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้งวด 9 เดือนมีรายได้ 565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% และในงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิจำนวน 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในปีนี้ผู้บริหาร PIN ระบุว่า จะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกด้านการเปิดประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนภาครัฐที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค ที่ช่วยสนับสนุนความได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ขณะที่นโยบายการดำเนินธุรกิจ PIN มุ่งพัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระดับ Eco World Class เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้แก่แรงงานที่อยู่ภายในโครงการและชุมชนโดยรอบให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องทิศทางการค้าโลกที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมีการลงทุนระบบเคเบิลใยแก้วนำแสง เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งก้าวสู่การเป็น Smart City หรือเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ มาเป็นจุดแข็งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองและพื้นที่โลจิสติกส์ปาร์ค ควบคู่กับการตอกย้ำจุดเด่นทำเลที่ตั้งโครงการทุกแห่งตั้งอยู่ในทำเล EEC และการให้บริการ One Stop Service ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปีนี้คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจของ PIN ที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ Recurring Income ในกลุ่มธุรกิจการให้บริการเช่าโรงงานและคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม ค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางและระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2568 บริษัทจึงได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์วางรากฐานสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มธุรกิจดังกล่าวให้มีเติบโตตามแผน โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 1-5 พื้นที่รวม 1.3 ล้านตารางเมตร รวมไปถึงโครงการติดตั้ง Solar Farm ลอยน้ำ ในบ่อน้ำของนิคมฯ เนื้อที่ 300 ไร่ กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 80 เมกะวัตต์ คาดรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/66 และโครงการห้องตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำให้ทุกกิจกรรมการผลิตของลูกค้าที่ตั้งฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 1/66 นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ ที่จัดสรรพื้นที่สร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า เป็นเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (General Zone) กว่า 200,000 ตารางเมตร ด้วยจุดเด่นด้านที่ตั้งโครงการที่ติดกับถนนมอเตอร์เวย์สาย7 และอยู่ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังเพียง 10 กิโลเมตร จึงเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและโครงการดังกล่าวจะเริ่มรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป ช่วยส่งเสริมผลการดำเนินงานของ PIN ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ที่มา: https://www.wealthythai.com/en/updates/stock/stock-of-the-day/14544